201042216371792177801

Thai Curriculum

  • สมัยสุโขทัย (พ.ศ.1781- พ.ศ.1921)

    สมัยสุโขทัย (พ.ศ.1781- พ.ศ.1921)
    สมัยสุโขทัยจะมีการจัดการศึกษาที่ บ้าน วัด วัง และแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
    1.ฝ่ายอาณาจักร สำหรับผู้ชายที่เป็นทหารจะเรียนศิลปะป้องกันตัว ศึกษาตำราพิชัยยุทธ์
    คัมภีร์ไตรเวทโหราศาสตร์ ส่วนผู้หญิงให้เรียนวิชาช่างสตรี เย็บปักถักทอ กิริยามารยาท
    2. ฝ่ายศาสนาจักร จะเป็นการบวชเรียน ศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ความกตัญญูรู้คุณ
    ต่อแผ่นดิน ต่อพ่อแม่
  • Period: to

    การศึกษาสมัยโบราณ (สมัยกรุงสุโขทัย,สมัยกรุงศรีอยุธยา,สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น)

    ช่วงการศึกษาในสมัยโบราณจะเน้นการศึกษาไปที่ผู้ชาย และการศึกษาสำหรับผู้ชายจะเป็นการบวชเรียน
    เรียนในวัดกับพระ หรือไม่ก็เป็นการเรียนศิลปะป้องกันตัวเพื่อเป็นทหาร ปกป้องแผ่นดินไทย ส่วนผู้หญิง
    จะเป็นการเรียนงานบ้านงานเรือน ทำอาหาร งานฝีมือ ภายในบ้านหรือวังเท่านั้น
  • พ่อขุนรามทางประดิษฐ์อักษรไทย

    พ่อขุนรามทางประดิษฐ์อักษรไทย
    ในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามท่านทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ทำให้งานด้านอักษรศาสตร์เจริญขึ้น
    มีการสอนภาษาไทยในพระบรมมหาราชวัง มีวรรณคดีที่สำคัญ คือ หนังสือไตรภูมิพระร่วงและ
    ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
  • พ่อขุนรามให้ชาวจีนเข้ามาสอนปั้นเครื่องชามสังคโลก

    พ่อขุนรามให้ชาวจีนเข้ามาสอนปั้นเครื่องชามสังคโลก
    พ่อขุนรามได้ให้ชาวจีนเข้ามาสอนปั้นเครื่องชามสังคโลก จึงทำให้กลายเป็นอาชีพของชาวสุโขทัยในสมัยนั้น
    และเป็นเอกลักษณ์ของชาวสุโขทัยจนมาถึงปัจจุบันนี้
  • อยุธยา (พ.ศ.1893-2310)

    อยุธยา (พ.ศ.1893-2310)
    ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เริ่มมีการพัฒนาการศึกษาเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม
    อย่างมากมีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าขาย เช่นโปรตุเกส ที่เข้ามาและมาซึ่งการพัฒนาการศึกษา
    การศึกษาในสมัยอยุธยายังคงมีความคล้ายกับสมัยสุโขทัย เพียงแต่จะมีการเรียนวิชาสามัญ
    เรียนภาษาไทยโดยใช้หนังสือจินดามณี เรียนอ่านเขียน เลข วิชาพื้นฐานการประกอบอาชีพ
  • ก่อตั้งโรงเรียนมิชชันนารี

    ก่อตั้งโรงเรียนมิชชันนารี
    ชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย อีกทั้งยังเข้ามาก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนมิชชันนารี เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และมีการสอนวิชาสามัญควบคู่ไปด้วย
  • บทบาทของวัดในการศึกษา สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

    บทบาทของวัดในการศึกษา สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
    การศึกษาในสมัยอยุธยา วัด ยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่มาก ผู้ชายยังคงต้องมาเรียนอ่านเขียนที่วัดกับพระ
    ซึ่งแสดงให้เห็นได้จาก สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงส่งเสริมพุทธศาสนาโดยทรงวางกฎเกณฑ์
    ไว้ว่าประชาชนคนใดไม่เคยบวชเรียนเขียนอ่านมาก่อน จะไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ
  • สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.2311 - พ.ศ.2411)

    สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ.2311 - พ.ศ.2411)
    การศึกษาในสมัยนี้คล้ายกับสมัยอยุธยา บ้านและวัดยังคงมีบทบาทเหมือนเดิม
  • แต่งวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์

    แต่งวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงฟื้นฟูการศึกษาด้านอักษรศาสาตร์
    และมีการแต่งวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ อีกทั้งยังมีการสังคายนาพระไตรปิฏกอีกด้วย
  • มีการเรียนวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์

    มีการเรียนวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์
    สมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงสงเสริมให้มีการเรียนวิชาสามัญ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์
    โดยจัดตั้งโรงทานหลวงขึ้นในพระบรมราชวัง เป็นสถานศึกษาวิชาดังกล่าวเพิ่มขึ้น
  • แบบเรียนไทย ประถม ก กา

    แบบเรียนไทย ประถม ก กา
    พระบาทสมเด็กพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีแบบเรียน ประถม ก กา และประถมมาลา
    ถือว่าเป็นแบบเรียนเล่มที่ 2 และ 3 ต่อจากหนังสือจินดามณี
  • เริ่มเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทย

    เริ่มเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทย
    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มมีชาวยุโรปเดินทางเข้ามามากขึ้น ประกอบกับการนำ
    เครื่องจักรพลังงานไอน้ำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมไทย จึงได้มีการจัดการเรียนวิชาธรรมชาติวิทยา
    หรือวิชาวิทยาศาตร์
  • รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453)

    รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453)
    ได้วางแนวนโยบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญที่สุด คือ การขยายการศึกษาทั่วในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองให้กว้างขวางออกไป และที่สำคัญที่สุดพระองค์ทรงเห็นว่า การศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงและขยายออกไปให้ถึงประชาชนให้มากที่สุด
  • สมัยปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. 2411-2475)

    สมัยปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. 2411-2475)
    ในช่วงสมัย พ.ศ. 2411-2453 ประเทศไทยมีการปฏิรูปในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง สังคม กฎหมาย รวมทั้งการศึกษา การศึกษาตามระบบโรงเรียนได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และกลายเป็นรากฐานที่สำคัญทำให้เกิดพระราชบัญญัติประถมศึกษาในปี พ.ศ. 2464 รัฐได้พยายามที่จะขยายการศึกษาออกไปสู่ประชาชน โดยมุ่งเน้นในระดับประถมศึกษาเป็นสำคัญ
  • รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453-2468)

    รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453-2468)
    ทรงมีพระบรมราโชบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญ คือ ส่งเสริมการขยายการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วๆ ไป ออกไปให้กว้างขวาง โดยได้ออกพระราชบัญญัติบังคับเด็กเข้าเรียน ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้ทรงพยายามส่งเสริมการศึกษาด้านวิชาชีพและการศึกษาในระดับสูงขึ้นไป ได้แก่ มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา รวมทั้งทรงส่งเสริมจัดการศึกษาเพื่อสร้างความรู้สึกรักชาติให้กับประชาชนด้วย
  • รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2468-2475)

    รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2468-2475)
    ได้ทรงวางแนวนโยบายในการจัดการศึกษาที่สำคัญ คือ ขยายการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติประถมศึกษาออกไปให้กว้างขวาง ส่งเสริมการเรียนวิชาชีพในโรงเรียนทุกระดับ โดยเฉพาะระดับประถมศึกษา รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพการศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
  • สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 – 2503

    สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 – 2503
    ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณญาสิทธิราช
    มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎรทุกชนชั้น และช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๕๐๓
    ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับถาวร ฉบับชั่วคราว และฉบับแก้ไข จำนวน ๑๕ ฉบับ
  • Period: to

    หลังการปกครองระบอบประชาธิปไตย- ปัจจุบัน

  • ระยะแรกสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475 - 2485)

    ระยะแรกสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  (พ.ศ. 2475 - 2485)
    นโยบายในการจัดการศึกษาในช่วง ๑๐ ปีแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะเป็นการ ขยายการศึกษาระดับ ประถมศึกษาออกไปให้มากยิ่งขึ้นและให้ความสำคัญมากกว่าระดับอื่น ส่วนในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดม ศึกษานั้น เป็นการขยายด้านปริมาณและปรับปรุงคุณภาพ
  • ระยะที่สองสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2485- 2593)

    ระยะที่สองสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง  (พ.ศ. 2485- 2593)
    ประเทศตกอยู่ภายใต้ภาวะสงคราม นโยบายการบริหารราชการ แผ่นดิน จึงเน้นหนักในด้านการทหาร และการป้องกันประเทศ ส่วนในด้านการศึกษา จึงไม่ค่อยชัดเจนนัก ภายหลังสงคราม (พ.ศ. ๒๔๘๘) รัฐบาลได้ปรับปรุงการศึกษาของชาติหลายประการ นโยบายในการจัดการศึกษาได้เด่นชัดขึ้นทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับ ปริมาณ และคุณภาพในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา การศึกษาผู้ใหญ่ อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยรัฐบาลต้องเอาใจใส่และทำนุบำรุง การศึกษาของชาติ ทุกระดับ
  • ระยะที่สาม (พ.ศ. 2493 - 2503)

    ระยะที่สาม (พ.ศ. 2493 - 2503)
    เป็นช่วงที่มีการปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาให้เจริญก้าวหน้าในทุกด้านและทุกระดับที่ปรากฏเด่นชัดที่สุด
    ในยุคนี้ได้มีการประกาศใช้แผนการศึกษาชาติ รวม ๓ ฉบับ คือ
    ๑. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๕
    ๒. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๗๙
    ๓. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๙๔
  • ในระหว่างปี พ.ศ. 2503 – 2520

    ในระหว่างปี พ.ศ. 2503 – 2520
    ได้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๙ ท่าน เข้ามาบริหารราชการ และได้วางแนวนโยบายในการ
    บริหารงานการพัฒนาการศึกษาของชาติ โดยจัดเอาแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2503 เป็นแผนแม่บท
    ในยุคนี้ ได้มีการประกาศใช้แผนการศึกษาหรือได้มี การประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2503
    และต่อมาในการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการได้ถือเอาแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503
    เป็น แผนแม่บท และดำเนินการ
  • ขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 7 ปี

    ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๔ - ๒๕๒๐ กระทรวงศึกษาธิการได้ผลักดันให้มีการประกาศใช้แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ และปรับปรุงหลักสูตรระดับการศึกษา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่สำคัญ คือ มีการขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น ๗ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๐๖
  • โอนการศึกษษประชาบาลไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด

    พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้มีการโอนการศึกษาประชาบาลไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในยุคนี้มีจุดที่น่าสนใจ คือ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๑๗ การศึกษาในสายอาชีวศึกษามีผู้สนใจจะเข้าศึกษาน้อยมาก แต่เพิ่มมากขึ้นในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๒๙
  • ประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521

    ประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521
    ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๑ มุ่งให้ ผู้เรียนสามารถนำ ประสบการณ์ที่ได้จาก การเรียนไปใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนไปใช้ประโยชน์ในการ ดำรงชีวิต ให้ผู้เรียนเป็นผู้มีคุณธรรม รู้จักคิดวิจารณ์ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และเน้นให้มีทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต ระยะเวลาเรียนตลอดหลักสูตร ๖ ปี  โดยยึดเด็กเป็นจุดศูนย์กลางการเรียนรู้ และ หลักสูตรมัธยมศึกษา ตอนต้น พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่มุ่งวางพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นพบความสามารถ ความถนัด
  • เปลี่ยนแปลงหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายให้สอดคล้องกับมัธยมต้น

    ้ตั้งแต่ปีการศึกษา๒๕๒๔ โครงสร้างของหลักสูตรจัดให้เรียนทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก วิชาบังคับมีทั้งวิชาสามัญและวิชาชีพ เน้นความสำคัญของวิชาการงานและอาชีพ การเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียน ส่วนการวัดและประเมินผลใช้ระบบหน่วยการเรียน แทนระบบหน่วยกิตที่ใช้ตาม หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. ๒๕๑๘
  • Period: to

    แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5

    เน้นนโยบายและแนวทางพัฒนาการศึกษาโดยส่วนรวม ดังนี้
    1. นโยบายด้านปริมาณ จัดและส่งเสริมการศึกษาในทุกลักษณะงานทั้งในระบบและนอกระบบ เด็กที่มีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ได้มีโอกาสเข้าเรียนทุกคน
    2. นโยบายด้านคุณภาพ การปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานของโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษาในเมืองและชนบทให้ใกล้เคียงกัน
    3. นโยบายด้านความเสมอภาค มุ่งกระจายสถานศึกษาทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ
    4. นโยบายจัดสรรและการใช้ทรัพยากรเพื่อพัฒนาการศึกษาและการบริหารการศึกษา ระดมการใช้ทรัพยากรภายในท้องถิ่น ชุมชนร่วมกันพัฒนาการศึกษา
  • การศึกษายึดแนวนโยบายที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 9

    การจัดการศึกษาในปัจจุบันได้มุ่งยึดแนวนโยบายที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545- พ.ศ. 2549) ได้จัดแผนการศึกษาระยะ เวลา 15 ปีเพื่อวางแนวทางในการพัฒนาการอย่างบูรณาการคุณภาพชีวิตในทุก ๆ ด้านและสอดรับกับวิสัยทัศน์ แนวนโยบาย มาตรการและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมไทย
  • หลักสูตรการศึกษาใหม่ 6 กลุ่มสาระ

    หลักสูตรการศึกษาใหม่ 6 กลุ่มสาระ
    ลดจำนวนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ลดชั่วโมงเรียน
    เพิ่มโครงงาน หรือกิจกรรมนอกห้องรียน
    ก. ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2
    แบ่งการจัดการศึกษาออกเป็น 4 กลุ่มสาระ ได้แก่
    1.บ้านของเรา โลกของเรา
    2.ชีวิตกับการเรียนรู้
    3.เด็กในวิถีประชาธิปไตย
    4.ศิลปะและพลานามัยเพื่อชีวิต
    ข. ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป
    แบ่งการจัดการศึกษาออกเป็น 6 กลุ่มสาระ ได้แก่
    1.กลุ่มภาษาและวรรณกรรม
    2.วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี
    3.เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที)
    4.สังคมและความเป็นมนุษย์
    5.โลก ภูมิภาคและอาเซียน
    6.ชีวิตกับโลกของงาน