-
งานเครื่องปั้นดินเผา: วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao) และหลงชาน (Longshan) มีการทำเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีและไม่เขียนสีที่ใช้ในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม
-
-
-
-
-
งานหยก: หยกถูกใช้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจ หยกมีความสำคัญในการทำเครื่องประดับและเครื่องมือ
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
สำริด: ชาวซางมีความเชี่ยวชาญในการหล่อสำริด โดยเฉพาะการสร้างเครื่องบูชาและหม้อสำริดที่ประดับด้วยลวดลายสัตว์และลวดลายเชิงศาสนา บุคคลสำคัญ: ฟูหาว (Fu Hao) ราชินีและนักรบหญิงที่มีสุสานพร้อมงานศิลปะสำริดและหยกที่งดงาม
-
-
-
-
-
เครื่องเขียนอักษรโลหะ: จารึกอักษรบนสำริดเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและการสืบทอดอำนาจ
-
-
753 ปีก่อนคริสตกาล ตามตำนานของชาวโรมันกล่าวไว้ว่า กรุงโรมถูกก่อตั้ง ขึ้นโดยสองพี่น้องฝาแฝด โรมิวลุส (Romulus) และ เรมัส (Remus) ที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่หมาป่า
-
-
-
-
-
• 509 ปีก่อนคริสตกาล ระบอบกษัตริย์ของโรมันถูกล้มล้าง โรมันเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) ที่ถูกปกครองโดยวุฒิสภาชิก (สภาซีเนต | Senate) ซึ่ง มีกงสุล (Consult) จำนวนสองคนเป็นผู้นำ โดยผลัด เปลี่ยนหมุนเวียนกันในแต่ละปี
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
• 264 ถึง 146 ปีก่อนคริสตกาล โรมันทำสงครามกับจักรวรรดิคาร์เทจ (Carthage Empire) ในแอฟริกาเหนือ เกิดเป็นสงครามพิวนิก (Punic Wars) รวมทั้งสิ้นสามครั้ง สงครามจบลงด้วย ชัยชนะของโรมัน
-
ศิลปะพิธีกรรม: งานศิลปะในยุคนี้มีการพัฒนาไปสู่ความประณีตในเครื่องสำริดและงานหยกที่ใช้ในพิธีกรรม บุคคลสำคัญ: ขงจื๊อ (Confucius) นักปราชญ์ผู้ก่อตั้งลัทธิขงจื๊อที่มีอิทธิพลต่อศิลปะและความคิดจีนในยุคต่อมา
-
-
ลวดลายสัตว์ในงานสำริด: รูปแบบการตกแต่งในศิลปะสำริดได้รับการพัฒนามากขึ้น ลวดลายสัตว์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยรายละเอียด
-
-
-
• 218 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงสงครามพิวนิกครั้งที่ 2 ฮันนิบาล (Hannibal) แม่ทัพของคาร์เทจได้ยกกองทัพช้างข้ามเทือกเขาแอ ลป์และบุกโจมตีกรุงโรม แต่สุดท้ายกองทัพโรมันก็ สามารถขับไล่กองทัพของฮันนิบาลได้
-
-
ซึ่งมีลักษณะเป็นชุดเสื้อยาวแขนกว้าง และใช้ผ้าผูกเอว เสื้อผ้าในยุคนี้มักทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้าย ฮั่นฝูเป็นชุดที่สะท้อนความเป็นชาวฮั่นที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจีน
-
ทหารดินเผา (Terracotta Army): จักรพรรดิฉินสื่อหวง (Qin Shi Huang) มีการสร้างกองทัพทหารดินเผาขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ในสุสานเพื่อปกป้องจักรพรรดิในโลกหลังความตาย บุคคลสำคัญ: จักรพรรดิฉินสื่อหวง ผู้ริเริ่มโครงการก่อสร้างอันยิ่งใหญ่และการรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียว
-
-
-
-
-
-
73 ปีก่อนคริสตกาล สปาร์ตาคัส (Spartacus) นำเหล่านักสู้กลาดิเอเตอร์ (Gladiator) ก่อกบฏต่อโรมัน
-
• 45 ปีก่อนคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) เอาชนะปอมเปย์ (Pompey) ผู้เป็นคู่แข่งทางการเมืองของเขาได้ ซีซาร์ส ถาปนาตนเองเป็นผู้เผด็จการครองอำนาจเบ็ดเสร็จใน กรุงโรมแต่เพียงผู้เดียว
-
44 ปีก่อนคริสตกาล ซีซาร์ถูกลอบสังหารโดยเหล่าวุฒิสมาชิก ก่อให้เป็น เกิดสงครามในโรมันเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน
-
31 ปีก่อนคริสตกาล ทายาทของซีซาร์นามว่า ออกตาเวียน (Octavian) มีชัย เหนือ มาร์ก แอนโทนี (Marc Anthony) และพระนาง คลีโอพัตราแห่งอียิปต์ (Cleopatra) ในยุทธนาวีแอกที อุม (Battle of Actium)
-
27 ปีก่อนคริสตกาล ออกตาเวียนเอาชนะคู่แข่งได้ทั้งหมด ยุติ สงครามกลางเมืองในโรมัน ออกตาเวียนสถาปนา ตนเองเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของโรมันในนาม จักร พรรดิออกัสตัส (Augustus) จุดเริ่มต้นของยุค จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire)
-
• ค.ศ. 43 โรมันยึดครองเกาะอังกฤษ
-
ค.ศ. 64 จักรพรรดิเนโร (Nero) สั่งให้เผากรุงโรมเพื่อก่อสร้าง พระราชวังใหม่ พระองค์เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่โหด ร้ายและวิปลาสมากที่สุดของโรมัน
-
ค.ศ. 72
สนามกีฬาโคลอสเซียม (Colosseum) ถูกก่อสร้างขึ้น -
• ค.ศ. 122 โรมันก่อสร้างกำแพงฮาเดรียน (Hadrian Wall) ทาง ตอนเหนือของอังกฤษ เพื่อป้องกันจากการรุกรานของ ชนป่าเถื่อนชาวเคลต์ (Celt)
-
จิตรกรรมฝาผนัง: มีการพัฒนาเทคนิคการวาดภาพบนผนังและผ้าไหมที่แสดงถึงธรรมชาติและวิถีชีวิต บุคคลสำคัญ: จางเฉียน (Zhang Qian) นักสำรวจที่เปิดเส้นทางสายไหม ทำให้ศิลปะจีนมีการแลกเปลี่ยนกับโลกตะวันตก
-
ค.ศ. 306 จักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantine) ทรงเป็น จักรพรรดิโรมันพระองค์แรกที่นับถือศาสนาคริสต์
-
-
-
-
• ค.ศ. 395 จักรวรรดิโรมันถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก (Western Roman) ที่มี ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมกับจักรวรรดิโรมันตะวันออก (Eastern Roman Empire) ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople)
-
ค.ศ.476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายจากการรุกรานของ ชนเผ่าเยอรมัน (Germanic Tribes) จุดสิ้นสุดของ ประวัติศาสตร์โลกยุคโบราณ และเริ่มต้นประวัติศาสตร์ ยุคกลาง
-
-
การแต่งกายของสตรีจะเน้นชุดคลุมยาวที่มีลวดลายและสีสันที่สดใส
-
การแต่งกายของสตรีจะเน้นชุดคลุมยาวที่มีลวดลายและสีสันที่สดใส
-
ค.ศ. 751 เซลเดอริกที่ 3 (Childeric III) กษัตริย์แห่งราชวงศ์เมโรแวงเจียน ถูกปลดโดย เปแปงร่างเตี้ย (Papin the short )
-
-
โดยเน้นการแต่งกายที่สะดวกสบายและเหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน สีสันที่นิยมจะเป็นสีที่อ่อนโยนมากกว่าสีสดใส ชุดชายหญิงจะเป็นเสื้อผ้าที่เน้นความยาวและหลวม แขนเสื้อใหญ่ขึ้น และเริ่มมีการใช้ผ้าพับเป็นชั้น ๆ เพื่อเพิ่มความสวยงาม
-
-
-
-
-
-
-
ผู้หญิงจะใส่เสื้อแขนยาวและกระโปรงยาว สวมหมวกคลุมหัวที่ได้รับอิทธิพลจากชาวมองโกล
-
-
-
-
ชุดฮั่นฝูของทั้งชายและหญิงจะมีความยาวและใช้ผ้าหลายชั้น มีการปักลวดลายละเอียดและประณีต ส่วนเสื้อคลุมของขุนนางจะมีลวดลายมังกรและลายอื่น ๆ ที่แสดงถึงฐานะและตำแหน่งทางสังคม
-
-
-
-
-
ลักษณะเป็นชุดยาวติดตัว มีคอสูง แขนยาว และสวมใส่สบาย ชุดของผู้ชายเรียกว่า "ม้ากั๊ว" (Magua) เป็นเสื้อคลุมแขนยาวและกางเกงขาใหญ่
-
-
-
-
ในปี ค.ศ. 1804 สองปีก่อนการล่มสลาย ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรพร รดิฟรานซิสที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็น จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิออสเตรีย เพื่อคงรักษาตำแหน่งและอำนาจ เนื่องจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูก คุกคามจากนโปเลียน ฟรานซิสที่ 2 จึง ยอมสละตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ โรมันอันศักดิ์สิทธิ์และก่อตั้งจักรวรรดิ ออสเตรียขึ้นมาแทน
-
-
-
-
-
-
ค.ศ.1912 - ค.ศ.1913
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
เมื่อราชวงศ์ชิงล่มสลายและจีนกลายเป็นสาธารณรัฐ การแต่งกายของชาวจีนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ชุด “ฉีผาว” ของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนเป็นชุดที่เข้ารูปและสั้นขึ้น ส่วนผู้ชายจะนิยมใส่ชุดที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น
-
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 ชุดประจำชาติเริ่มลดความสำคัญลงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ชาวจีนส่วนใหญ่หันมาใส่ชุดที่เรียกว่า "ชุดเหมา" (Mao Suit) ซึ่งเป็นชุดเสื้อคอปิด แขนยาว และกางเกงเรียบง่าย ในยุคปัจจุบัน การแต่งกายของชาวจีนมีความหลากหลายและได้รับอิทธิพลจากแฟชั่นตะวันตกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชุดฮั่นฝูและฉีผาวก็ยังได้รับการอนุรักษ์และสวมใส่ในงานเทศกาลและพิธีการสำคัญ
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 ชุดประจำชาติเริ่มลดความสำคัญลงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ชาวจีนส่วนใหญ่หันมาใส่ชุดที่เรียกว่า "ชุดเหมา" (Mao Suit) ซึ่งเป็นชุดเสื้อคอปิด แขนยาว และกางเกงเรียบง่าย ในยุคปัจจุบัน การแต่งกายของชาวจีนมีความหลากหลายและได้รับอิทธิพลจากแฟชั่นตะวันตกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชุดฮั่นฝูและฉีผาวก็ยังได้รับการอนุรักษ์และสวมใส่ในงานเทศกาลและพิธีการสำคัญ