-
ซึ่งเป็นอารยธรรมแรกของโลก ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริส - ยูเฟรติส เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย มีความอุดมสมบูรณ์ เรียกว่า “บาบิโลเนีย” (Babylonia) ส่วนบนซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งเรียกว่า “อัสซีเรีย” (Assyria)
-
เมโสโปเตเมียปัจจุบันเป็นที่ตั้งบางส่วนของประเทศอิรัก ซีเรีย และคูเวต โดยมีชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าแรกที่ครอบครอง ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรลิ่ม หรือที่เรียกว่า “Cuneiform” (เชื่อว่าเป็นการประดิษฐ์อักษรครั้งแรกของโลก)ดินแดนนี้ก็ถูกชนเผ่าอื่นๆยึดครอบครองตามลำดับดังต่อไปนี้ ชนเผ่าอามอไรต์ ชนเผ่าฮิตไทต์ ชนเผ่าอัสซีเรียน และสุดท้าย ชนเผ่าคาลเดียน นอกจากมีการประดิษฐ์อักษรขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกโดยชาวสุเมเรียนแล้ว ยังมีกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเกิดขึ้นอีกด้วย
-
ซึ่งเป็นอารยธรรมแรกของโลก เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย มีความอุดมสมบูรณ์ เรียกว่า “บาบิโลเนีย” (Babylonia) ส่วนบนซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งเรียกว่า “อัสซีเรีย” (Assyria)
-
เมโสโปเตเมียปัจจุบันเป็นที่ตั้งบางส่วนของประเทศอิรัก ซีเรีย และคูเวต โดยมีชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าแรกที่ครอบครอง ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรลิ่ม หรือที่เรียกว่า “Cuneiform” (เชื่อว่าเป็นการประดิษฐ์อักษรครั้งแรกของโลก)
-
อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุนั้นดำรงอยู่ในช่วง 3300 – 1,300 B.C. และยิ่งใหญ่ที่สุดช่วง ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของประเทศอัฟกานิสถาน ส่วนใหญ่ของประเทศปากีสถาน และทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย โดยมีแม่น้ำสินธุไหลผ่านตลอดประเทศปากีสถาน ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปี อารยธรรมนี้เป็นที่รู้จักในฐานะการวางผังเมือง บ้านที่สร้างจากอิฐอบ
-
พื้นที่ของประเทศอัฟกานิสถาน ส่วนใหญ่ของประเทศปากีสถาน และทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย โดยมีแม่น้ำสินธุไหลผ่านตลอดประเทศปากีสถาน ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปี อารยธรรมนี้เป็นที่รู้จักในฐานะการวางผังเมือง บ้านที่สร้างจากอิฐอบ
-
เริ่มจากฟาโรห์เมเนส (Menes) (หรืออาจมีอีกชื่อว่า “นาเมอร์” หรือ Narmer) รวมอียิปต์บนและอียิปต์ล่างเข้าด้วยกันสำเร็จในปี 3100 B.C. และสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่ 1 โดยตั้งเมืองหลวงที่ นครเมมฟิส ซึ่งนครแห่งนี้จะเจริญรุ่งเรืองอีกยาวนับพันปีเมื่อขึ้นครองราชย์ฟาโรห์เมเนสได้ตั้งชื่อตำแหน่งผู้ปกครองใหม่ว่า “ฟาโรห์” และได้ถูกเรียกแบบนี้จวบจนสิ้นสุดของยุคราชวงศ์อียิปต์
-
สมัยอียิปต์บนและอียิปต์ล่าง (หรือที่เรียกว่า สองดินแดน) เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของสมัยอียิปต์ยุคก่อนประวัติศาสตร์และเกิดขึ้นก่อนการรวมอาณาจักร แนวความคิดของอียิปต์ในฐานะดินแดนทั้งสองเป็นตัวอย่างของความเป็นสองขั้วทางวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ และมักจะปรากฏในข้อความและภาพสลัก รวมทั้งในพระนามของฟาโรห์แห่งอียิปต์
-
เริ่มจากฟาโรห์เมเนส (Menes) (หรืออาจมีอีกชื่อว่า “นาเมอร์” หรือ Narmer) รวมอียิปต์บนและอียิปต์ล่างเข้าด้วยกันสำเร็จและสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่ 1 โดยตั้งเมืองหลวงที่ นครเมมฟิส ซึ่งนครแห่งนี้จะเจริญรุ่งเรืองอีกยาวนับพันปี
เมื่อขึ้นครองราชย์ฟาโรห์เมเนสได้ตั้งชื่อตำแหน่งผู้ปกครองใหม่ว่า “ฟาโรห์” และได้ถูกเรียกแบบนี้จวบจนสิ้นสุดของยุคราชวงศ์อียิปต์ -
กลุ่มพีระมิดแห่งกีซา หรือ มหาสุสานกีซา เป็นสถานที่บนที่ราบสูงกีซาอันเป็นที่ตั้งของมหาพีระมิดแห่งกิซาทั้งสาม ได้แก่ พีระมิดคูฟู พีระมิดคาเฟร และพีระมิดเมนคูเร พร้อมกับสิ่งก่อสร้างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น มหาสฟิงซ์ พีระมิดขนาดเล็กและสุสานหลายแห่ง รวมทั้งซากหมู่บ้านคนงาน ทั้งหมดสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ที่สี่ของราชอาณาจักรเก่าของอียิปต์โบราณ
-
ยุคอาณาจักรเก่านี้บางครั้งถูกเรียกว่า "สมัยพีระมิด" เพราะมีการสร้างพีระมิดขึ้นเป็นครั้งแรก และมีพีระมิดถูกสร้างขึ้นมากกว่า 20 แห่งนอกเหนือจากความเชื่อในเทพเจ้าต่างๆแล้ว ชาวอียิปต์นั้นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตาย พวกเขาเชื่อว่า เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ลงแล้วจะไปประทับอยู่ในโลกแห่งความตาย และจะกลับมาจุติใหม่ในร่างเดิมที่จัดเตรียมไว้อย่างดี ซึ่งก็คือ “มัมมี่” นั่นเองส่วนอวัยวะภายในต่างๆที่ถูกเอาออกมาจากร่าง ก็จะถูกเก็บรักษาแยกไว้ในภาชนะ 4 ชิ้น เรียกว่า“คาโนปิค”และฝังไว้ในที่เดียวกันกับมัมมี่
-
นอกเหนือจากความเชื่อในเทพเจ้าต่างๆแล้ว ชาวอียิปต์นั้นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตาย พวกเขาเชื่อว่า เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ลงแล้วจะไปประทับอยู่ในโลกแห่งความตาย และจะกลับมาจุติใหม่ในร่างเดิมที่จัดเตรียมไว้อย่างดี ซึ่งก็คือ “มัมมี่” นั่นเอง
-
ถูกสร้างในสมัยฟาโรห์โจเซอร์ (Djoser) ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 3 ซึ่งในสมัยนี้ ฟาโรห์โจเซอร์มีที่ปรึกษาประจำองค์นามว่า
“อิมโฮเทป” (Imhotep) ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักบวชและสถาปนิก รวมถึงนักดาราศาสตร์ แพทย์ และด้านอื่นๆอีกหลายแขนง เรียกได้ว่าอิมโฮเทปเป็นยอดนักปราชญ์แห่งยุคเลยก็ว่าได้อิมโฮเทปเป็นผู้ออกแบบในการสร้างพีระมิดขั้นบันไดที่ซัคคาราซึ่งนับเป็นพีระมิดแห่งแรกของ อียิปต์ ลักษณะที่สำคัญคือเป็น พีระมิดขั้นบันได (Step Pyramid) ซ้อนกันรวม 6 ชั้น เปรียบเสมือนบันไดไปสู่สวรรค์ -
ถูกสร้างในสมัยฟาโรห์โจเซอร์ (Djoser) ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 3 ซึ่งในสมัยนี้ ฟาโรห์โจเซอร์มีที่ปรึกษาประจำองค์นามว่า
“อิมโฮเทป” (Imhotep) ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักบวชและสถาปนิก รวมถึงนักดาราศาสตร์ แพทย์ และด้านอื่นๆอีกหลายแขนง เรียกได้ว่าอิมโฮเทปเป็นยอดนักปราชญ์แห่งยุคเลยก็ว่าได้ -
มหาพีระมิดแห่งกีซาประกอบไปด้วย พีระมิดของฟาโรห์คูฟู ฟาโรห์เครเฟ และฟาโรห์เมนคูเรโดยพิระมิดของฟาโรห์คูฟูจะมีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด (ตั้งอยู่ทางขวาสุด อาจจะดูเล็กกว่าพีระมิดอันกลางซึ่งเป็นพีระมิดของฟาโรห์เครเฟ แต่เนื่องจากพีระมิดฟาโรห์คูฟูสร้างอยู่บนพื้นที่ต่ำกว่า จึงทำให้ดูเล็กกว่านั่นเอง) พีระมิดของฟาโรห์คูฟูนั้นใช้หินก้อนมหึมาที่ก่อสร้างทั้งหมดถึง 2,300,000 ก้อน เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ได้ตั้งขอสันนิษฐานว่า พีระมิดของฟาโรห์คูฟูนี้ น่าจะใช้แรงงานประมาณ 10,000 คน
-
พระโอรสของฟาโรห์คูฟูนามว่า “ฟาโรห์เครเฟ” (Khafre) ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์องค์ใหม่ ฟาโรห์เครเฟทรงปรารถนาที่จะสร้างพีระมิดใกล้ๆกับของพระบิดา และนั่นได้นำไปสู่การสร้าง “พีระมิดเครเฟ” ซึ่งเป็นพีระมิดที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกลุ่มมหาพีระมิดแห่งกิซา นอกจากพีระมิดเครเฟแล้ว พระองค์ยังให้มีการสร้าง “มหาสฟิงซ์”
-
มหาพีระมิดแห่งกีซาประกอบไปด้วย พีระมิดของฟาโรห์คูฟู (Khufu) ฟาโรห์เครเฟ (Khafre) และฟาโรห์เมนคูเร (Menkaure) โดยพิระมิดของฟาโรห์คูฟูจะมีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด (ตั้งอยู่ทางขวาสุด อาจจะดูเล็กกว่าพีระมิดอันกลางซึ่งเป็นพีระมิดของฟาโรห์เครเฟ แต่เนื่องจากพีระมิดฟาโรห์คูฟูสร้างอยู่บนพื้นที่ต่ำกว่า จึงทำให้ดูเล็กกว่านั่นเอง)
-
ในยุคนี้ชาติอียิปต์โบราณยังไม่มี แต่ชาวอียิปต์โบราณได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์แล้ว พวกเขาทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ โดยมีดินเหนียวบริเวณริมแม่น้ำไนล์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวอียิปต์สามารถปลูกพืชต่างๆได้เมื่อความเจริญเกิดขึ้น พวกเขาก็ได้พัฒนาจนกลายเป็นสังคมเมืองในท้ายที่สุด โดยมีหัวหน้าเป็นผู้นำด้านการปกครองและสังคม ขณะเดียวกันก็มักเกิดการแย่งชิงดินแดนซึ่งกันและกัน จนในที่สุดราวๆ 3400 B.C. ดินแดนทั้งสองฝั่งของลุ่มแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน:
-
ในยุคนี้ชาติอียิปต์โบราณยังไม่มี แต่ชาวอียิปต์โบราณได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์แล้ว พวกเขาทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ โดยมีดินเหนียวบริเวณริมแม่น้ำไนล์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวอียิปต์สามารถปลูกพืชต่างๆได้
-
ตำแหน่ง "ฟาโรห์" ได้ถูกใช้สำหรับผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่ทรงปกครองหลังจากการรวมดินแดนอียิปต์บนและอียิปต์ล่างโดยฟาโรห์นาร์เมอร์ในช่วงสมัยราชวงศ์ตอนต้นแห่งอียิปต์เมื่อประมาณ 3100 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้เพื่อกล่าวถึงผู้ปกครองแห่งอียิปต์ในในช่วงเวลาดังกล่าวจนกระทั่งถึงสมัยของราชวงศ์ที่สิบแปดของสมัยราชอาณาจักรใหม่
-
โดยในช่วงที่ชนเผ่าอามอไรต์ปกครองนั้น ได้มี “ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี” จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นศิลา ในสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี (1792 – 1745 B.C.) ซึ่งประมวลกฎหมายนี้ยึดถือหลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในการลงโทษ
-
โดยในช่วงที่ชนเผ่าอามอไรต์ปกครองนั้น ได้มี “ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี” จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นศิลา ในสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบี ซึ่งประมวลกฎหมายนี้ยึดถือหลัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในการลงโทษ
-
ในช่วงราชวงศ์ที่ 13 และ 14 เกิดความแตกแยกภายใน แผ่นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้ง ก่อนที่ในเวลาต่อมาพวก “ฮิกโซส” (Hyksos) เข้ารุกรานอียิปต์และสามารถยึดครองอียิปต์ความรุ่งเรืองของอียิปต์จึงต้องมาหยุดชะงักลงอีกครั้ง คำว่า “ฮิกโซส” ในภาษาอียิปต์แปลว่า “กษัตริย์ต่างชาติ” ซึ่งพวกฮิกโซสคือกลุ่มชนปศุสัตว์เร่ร่อนที่อพยพมาจากเอเชียตะวันตก
-
ในยุคอาณาจักรใหม่นี้ ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 ได้เริ่มเปลี่ยนจากการฝังพระศพในพีระมิดมาฝังในสถานที่ลับ ที่คิดว่าปลอดภัยมากขึ้นจากโจรขโมย ซึ่งทรงเห็นจากการโจรกรรมของมีค่าในพีระมิดต่างๆในช่วงยุครอยต่อครั้งที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “หุบเขาแห่งกษัตริย์” อันเป็นสถานที่ฝังพระศพของเหล่าฟาโรห์
-
ในยุคอาณาจักรใหม่นี้ ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 ได้เริ่มเปลี่ยนจากการฝังพระศพในพีระมิดมาฝังในสถานที่ลับ ที่คิดว่าปลอดภัยมากขึ้นจากโจรขโมย ซึ่งทรงเห็นจากการโจรกรรมของมีค่าในพีระมิดต่างๆในช่วงยุครอยต่อครั้งที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “หุบเขาแห่งกษัตริย์” อันเป็นสถานที่ฝังพระศพของเหล่าฟาโรห์
-
ที่มีความสำคัญในด้านการทหารและการขยายอาณาเขตของอียิปต์ ด้านการรบ พระองค์มีการปราบปรามศัตรูจากทางเหนือและทางใต้ รวมถึงการสู้รบกับชาวนูเบียในทางใต้ และการต้านทานการรุกรานจากชาวฮิกซอซในทางเหนือ การรบเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและอำนาจให้แก่ราชอาณาจักรอียิปต์
-
ฟาโรห์หญิงผู้มีชื่อเสียง เป็นฟาโรห์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์ที่ 18 ทรงอภิเษกสมรสกับฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 2 และต่อมาทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 ผู้ซึ่งเยาว์วัยเกินกว่าจะทำการปกครองได้จนกระทั่งพระนางได้สถาปนาตนขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์โดยสมบูรณ์ เป็นสตรีผู้ยิ่งใหญ่พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์มีข้อมูล
-
ฟาโรห์หญิงผู้มีชื่อเสียง เป็นฟาโรห์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์ที่ 18 ทรงอภิเษกสมรสกับฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 2 และต่อมาทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 ผู้ซึ่งเยาว์วัยเกินกว่าจะทำการปกครองได้จนกระทั่งพระนางได้สถาปนาตนขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์โดยสมบูรณ์ เป็นสตรีผู้ยิ่งใหญ่พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์มีข้อมูล
-
เมื่อฟาโรห์แฮตเชปซุตสิ้นพระชนม์ ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 ก็ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นฟาโรห์องค์ที่ 6 ของราชวงศ์ที่ 18 พระองค์ได้สร้างอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ที่เคยเห็นมา จนได้ฉายาว่า “นโปเลียนแห่งอียิปต์” นอกจากนี้ทรงสั่งให้ลบชื่อของฟาโรห์แฮทเชปซุตออกจากการจารึกเพราะทรงไม่พอพระทัยที่ พระนางขึ้นปกครองอียิปต์แทนในช่วงต้นสมัยของพระองค์ บางสันนิษฐานกล่าวว่าฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 อาจจะเป็นคนปลงพระชนม์ฟาโรห์แฮตเชปซุต
-
เมื่อฟาโรห์แฮตเชปซุตสิ้นพระชนม์ ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 ก็ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นฟาโรห์องค์ที่ 6 ของราชวงศ์ที่ 18 พระองค์ได้สร้างอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในอียิปต์ที่เคยเห็นมา จนได้ฉายาว่า “นโปเลียนแห่งอียิปต์” นอกจากนี้ทรงสั่งให้ลบชื่อของฟาโรห์แฮทเชปซุตออกจากการจารึกเพราะทรงไม่พอพระทัยที่ พระนางขึ้นปกครองอียิปต์แทนในช่วงต้นสมัยของพระองค์ บางสันนิษฐานกล่าวว่าฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3 อาจจะเป็นคนปลงพระชนม์ฟาโรห์แฮตเชปซุต
-
ในรัชสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 เป็นยุคที่ศิลปะและการต่างประเทศของอียิปต์รุ่งเรืองมาก เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระราชโอรสของพระองค์จึงขึ้นครองราชย์ต่อ ทรงพระนามว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนพระนามเป็น ฟาโรห์อาเคนาเตน
เป็นที่น่าเสียดายว่าสถาปัตยกรรมในยุคสมัยของพระองค์เหลืออยู่เพียง “Collossi of Memnon” เท่านั้น -
ในรัชสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 เป็นยุคที่ศิลปะและการต่างประเทศของอียิปต์รุ่งเรืองมาก เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระราชโอรสของพระองค์จึงขึ้นครองราชย์ต่อ ทรงพระนามว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนพระนามเป็น ฟาโรห์อาเคนาเตน
เป็นที่น่าเสียดายว่าสถาปัตยกรรมในยุคสมัยของพระองค์เหลืออยู่เพียง “Collossi of Memnon” เท่านั้น -
พระองค์เป็นที่รู้จักในด้านการสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โต เช่น วัดลักซอร์ และเป็นผู้สนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรมอย่างมาก อเมนโฮเทปที่ 4 (หรือที่รู้จักในชื่อ อคเนตัน) เป็นพระโอรสของพระองค์ที่เปลี่ยนศาสนาไปนับถือเทพดิสเดียว (อาเธน) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอียิปต์โบราณในด้านศาสนาและวัฒนธรรม ฟาโรห์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของอียิปต์ในช่วงราชวงศ์ที่ 18 และ 19 โดยเฉพาะในด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม.
-
เมื่อมาถึงช่วงท้ายๆของราชวงศ์ที่ 18 ในสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 ฟาโรห์ลำดับที่ 10 ในราชวงศ์ที่ 18 อียิปต์มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางศาสนา ถือว่าเป็นการปฏิวัติทางศาสนาเลยทีเดียว โดยฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 ได้นำความเชื่อในเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism) มาบังคับใช้โดยทั่วกัน คือการบูชาเทพ “อาเตน” (Aton) เพียงองค์เดียว แทนเทพสูงสุด “อามุน-รา” (Amun-Ra) และเทพองค์อื่นๆในอดีต พระองค์ยังได้เปลี่ยนชื่อพระองค์เองเป็น “อาเคนาเตน” เพื่อให้เชื่อมโยงกับเทพอาเตนอีกด้วย “อาเคนาเตน” แปลว่าผู้รับใช้ขององค์อาเตน
-
-
ฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นโอรสของฟาโรห์อาเคนาเตน เป็นฟาโรห์ผู้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่มีพระชนม์มายุ 9 พรรษา และสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนม์มายุได้เพียง 19 พรรษา ส่วนสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ได้ 3 ปี ก็ได้ล้มเลิกการนับถือเทพองค์เดียวที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบิดาทรงกลับไปนับถือเทพอามุน-ราเป็นเทพสูงสุด รวมถึงเทพองค์อื่นๆตามเดิม อีกทั้งยังย้ายเมืองหลวงกลับไปที่เมืองธีปส์ในยุคอียิปต์โบราณฟาโรห์ตุตันคาเมนก็เป็นหนึ่งในชื่อที่ผู้คนนึกถึงความโด่งดังจากสุสานของพระองค์
-
ฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นโอรสของฟาโรห์อาเคนาเตน เป็นฟาโรห์ผู้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่มีพระชนม์มายุ 9 พรรษา และสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนม์มายุได้เพียง 19 พรรษา ส่วนสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ได้ 3 ปี ก็ได้ล้มเลิกการนับถือเทพองค์เดียวที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบิดาทรงกลับไปนับถือเทพอามุน-ราเป็นเทพสูงสุด รวมถึงเทพองค์อื่นๆตามเดิม อีกทั้งยังย้ายเมืองหลวงกลับไปที่เมืองธีปส์ในยุคอียิปต์โบราณฟาโรห์ตุตันคาเมนก็เป็นหนึ่งในชื่อที่ผู้คนนึกถึงความโด่งดังจากสุสานของพระองค์
-
อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมเก่าแก่เป็นที่สามของโลก อารยธรรมอียิปต์ได้ถือกำเนิดขึ้นก่อนที่จะมีอารยธรรมกรีกและอารยธรรมโรมันด้วยซ้ำมีเพียงอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเท่านั้นที่เกิดขึ้นก่อนจากที่คำนวณดูก็ทำให้ได้ทราบว่าอารยธรรมอียิปต์นั้นมีช่วงระยะเวลาที่นานที่สุด นั่นคือประมาณ 3,070 ปีอารยธรรมอียิปต์มีช่วงเวลาที่หล่อหลอมความเจริญได้ถึงขีดสุดในหลายๆด้าน จึงส่งผลให้ทั้ง สถาปัตยกรรม ประติมากรรม ความเชื่อ และศาสตร์หลายแขนงของอียิปต์โบราณได้ถูกส่งต่อไปยังอารยธรรมกรีก และ โรมัน อีกด้วย
-
ยุคนี้เป็นยุคที่อียิปต์ปกครองโดยชาวต่างชาติ ตั้งแต่พวกลิเบีย นูเบีย และถูกยึดครองโดยอัสซีเรียในปี 663 B.C. ต่อมาก็ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรเปอร์เซียในปี 525 B.C.
จนกระทั่งเมื่อปี 332 B.C. “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช” (Alexander the Great) แห่งมาซิโดเนีย หรือ กรีก ได้พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียลง อียิปต์จึงตกเป็นของกรีก โดยมีพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชขึ้นเป็นฟาโรห์ของอียิปต์ และได้สร้างเมือง “อเล็กซานเดรีย” (Alexandria) ขึ้น -
ยุคนี้เป็นยุคที่อียิปต์ปกครองโดยชาวต่างชาติ ตั้งแต่พวกลิเบีย นูเบีย และถูกยึดครองโดยอัสซีเรียในปี 663 B.C. ต่อมาก็ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรเปอร์เซียในปี 525 B.C. จนกระทั่งเมื่อปี 332 B.C. “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช” (Alexander the Great) แห่งมาซิโดเนีย หรือ กรีก ได้พิชิตอาณาจักรเปอร์เซียลง อียิปต์จึงตกเป็นของกรีก โดยมีพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชขึ้นเป็นฟาโรห์ของอียิปต์ และได้สร้างเมือง “อเล็กซานเดรีย” (Alexandria) ขึ้น
-
ในช่วงที่ชนเผ่าคาลเดียนเข้าปกครอง ได้มีการสร้าง “สวนลอยแห่งบาบิโลน” ขึ้นในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ (605 – 562 B.C.) ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า แต่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้สิ้นสุดลง เมื่อพระเจ้าไซรัสมหาราชแห่งเปอร์เซียได้เข้ายึดครอง และผนวกเข้ากับจักรวรรดิเปอร์เซีย แต่อย่างไรก็ตามอารยธรรมเมโสโปเตเมียได้ส่งผ่านความเจริญทางด้านคณิตศาสตร์ ปฏิทิน และการชั่ง ตวง วัด ไปยังอารยธรรมต่อๆมา
-
ในช่วงที่ชนเผ่าคาลเดียนเข้าปกครอง ได้มีการสร้าง “สวนลอยแห่งบาบิโลน” ขึ้นในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า แต่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น
-
อิมโฮเทปเป็นผู้ออกแบบในการสร้างพีระมิดขั้นบันไดที่ซัคคาราซึ่งนับเป็นพีระมิดแห่งแรกของ อียิปต์ ลักษณะที่สำคัญคือเป็น พีระมิดขั้นบันได (Step Pyramid) ซ้อนกันรวม 6 ชั้น เปรียบเสมือนบันไดไปสู่สวรรค์ ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของอิมโฮเทป ทำให้ชาวอียิปต์เชื่อว่าเขาเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า เหตุนี้จึงทำให้อิมโฮเทปถูกยกย่องจากชาวอียิปต์ให้เป็น มนุษย์เทพ ซึ่งจะเห็นได้จากรูปปั้นต่างๆของอิมโฮเทปในช่วงสมัยอียิปต์โบราณ
-
อิมโฮเทปเป็นผู้ออกแบบในการสร้างพีระมิดขั้นบันไดที่ซัคคาราซึ่งนับเป็นพีระมิดแห่งแรกของ อียิปต์ ลักษณะที่สำคัญคือเป็น พีระมิดขั้นบันได ซ้อนกันรวม 6 ชั้น เปรียบเสมือนบันไดไปสู่สวรรค์ ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของอิมโฮเทป ทำให้ชาวอียิปต์เชื่อว่าเขาเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า เหตุนี้จึงทำให้อิมโฮเทปถูกยกย่องจากชาวอียิปต์ให้เป็น มนุษย์เทพ ซึ่งจะเห็นได้จากรูปปั้นต่างๆของอิมโฮเทปในช่วงสมัยอียิปต์โบราณ รูปปั้นของอิมโฮเทปที่เราคุ้นเคยก็คือรูปปั้นของชายที่นั่งบนเก้าอี้ ศรีษะโล้น และถือม้วนกระดาษปาปิรุสอยู่บนตัก
-
อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมเก่าแก่เป็นที่สามของโลก อารยธรรมอียิปต์ได้ถือกำเนิดขึ้นก่อนที่จะมีอารยธรรมกรีกและอารยธรรมโรมันด้วยซ้ำมีเพียงอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเท่านั้นที่เกิดขึ้นก่อน
-
ความรุ่งเรืองของอียิปต์จึงต้องมาหยุดชะงักลงอีกครั้ง คำว่า “ฮิกโซส” ในภาษาอียิปต์แปลว่า “กษัตริย์ต่างชาติ” ซึ่งพวกฮิกโซสคือกลุ่มชนปศุสัตว์เร่ร่อนที่อพยพมาจากเอเชียตะวันตก
-
ฟาโรห์ที่ ปกครองในช่วงนี้ได้รวมอำนาจและฟื้นฟู เศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อย
-
ราชอาณาจักร" (Kingdoms) โดยมักแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง และยุคที่ไม่มีความแน่นอนที่เรียกว่า "ช่วงต่อ" (Intermediate Periods) ยุคที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ราชอาณาจักรเก่า ในช่วงต้นยุคสัมฤทธิ์, ราชอาณาจักรกลาง ในช่วงกลางยุคสัมฤทธิ์ และ ราชอาณาจักรใหม่
-
เป็นช่วงที่ พีระมิดแห่งกิซ่าถูกสร้างขึ้น และมีการ ปกครองโดยฟาโรห์ที่มีอำนาจสูงสุด เช่น ฟาโรห์ดูโจเซอร์และคูฟู
-
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และเกิดขึ้นก่อนการรวมอาณาจักร แนวความคิดของอียิปต์และมักจะปรากฏในข้อความและภาพสลัก รวมทั้งในพระนามของฟาโรห์แห่งอียิปต์